นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีน และได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึง เป็นการเริ่มต้น ยุคแห่งประวัติศาสตร์ไทย ที่ปรากฏ หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวคือ เมื่อไทยได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้น และหลังจากที่ พ่อขุนรามคำแหง มหาราช ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แล้ว นับตั้งแต่นั้นมาจึงปรากฏหลักฐานด้าน ดนตรีไทย ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งในหลักศิลาจารึก หนังสือวรรณคดี และเอกสารทางประวัติศาสตร์ ในแต่ละยุค ซึ่งสามารถนำมาเป็นหลักฐานในการพิจารณา ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของ ดนตรีไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นต้นมา จนกระทั่งเป็นแบบแผนดังปรากฏ ในปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้ |
ก่อนที่ ชนชาติไทยจะอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งนั้น ดินแดนสุวรรณภูมินี้เป็นที่อยู่ของชนชาติเดิมหลายอยู่หลายชาติ คือ พวกขอม มอญ และละว้า ซึ่งผลัดกันมีอำนาจมากน้อยตามเหตุการณ์ ซึ่งทั้งขอมและมอญต่างก็มีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง และหลักฐานทางโบราณคดีก่อนที่จะถึงยุคสุโขทัยนั้นดินแดนสุวรรณภูมิเป็นดินแดนที่มีความเจริญมาตามลำดับ คือ ทราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี และเชียงแสน แล้วจึงมาถึงสุโขทัย โดยในสมัยทราวดีนั้นพวกมอญมีความเจริญรุ่งเรือง พวกนี้จะมีศิลปะการดนตรีที่เจริญรุ่งเรื่องมากซึ่งส่วนหนึ่ง ของการดนตรีก็ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อดนตรีไทยด้วย หลักฐานต่างๆที่สามารถใช้สืบค้น และอ้างอิงวิวัฒนาการของดนตรีไทย ในยุคสุโขทัยดังนี้ |
หลักฐานจารึกด้านดนตรีจากหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลักที่๑ด้านที่๒
ดํบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน |
หลักฐานจารึกสมัยพระธรรมราชาลิไทจากไตรภูมิพระร่วงในอุตรกุรุทวีปตอนหนึ่งว่า
บ้างเต้น บ้างรำ บ้างฟ้อน ระบำ บรรลือเพลงดุริยะดนตรี บ้างดีด บ้างสี บ้างตี บ้างเป่า บ้างขับสัพพสำเนียง เสียงหมู่ นักคุนจุนกันไปเดียรดาษ พื้นฆ้องกลอง แตรสังข์ ระฆังกังสดาล มโหรทึกกึกก้อง ทำนุกดี |
หลักฐานตอนชื่นชมพระบารมีของสมเด็จพระมหาจักรพัตราธิราช
แล้วแลร้อง ก้องขับเสียงพาทย์ เสียงพิณ แตรสังข์ ฟังเสียงกลองใหญ่ แลกลองราม กลองเล็ก แลฉิ่งแฉ่ง บัณเฑาะว์วังเวง ลางคนตีกลอง ตีพาทย์ฆ้องตีกรับรับสัพพทุกสิ่ง ลางจำพวกดีดพิณและสีซอพุงตอ แลกันฉิ่งริงรำจับระบำเต้นเล่นสารพนักคุนทั้งหลาย สัพพดุริยดนตรีอยู่ครืน เครง อลวน ลเวงดังแผ่นดินจะถล่ม |
หลักฐานจากหลักศิลาจารึกภูเขาสุมนกูฏหนังสือประชุมจารึกสยามภาคหนึ่งจัดไว้หลักที่๘
ทั้งสองปลากหนทางย่อมเรียงขันหมากพลู บูชาพิลม ระบำเต้นเล่นทุกฉันด้วยเสียงอันสาธุการบูชา อีกด้วยดูรยพาทพิณ ฆ้องกลองเสียงดังสีพดังดินจักหล่มอันใส้ |
เครื่องดนตรีสมัยสุโขทัย สรุปจากหลักฐานทางศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ ด้านที่ ๒ มีดังนี้ |
เครื่องดีด พิณ สันนิษฐานว่า กระจับปี่ พิณน้ำเต้า พิณเพี้ยะ
เครื่องสี ซอสามสาย (ซอพุงตอ)
เครื่องตี ประเภทที่เกิดเสียงจากโลหะ ได้แก่ มโหรทึก ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ ระฆัง กังสดาล
ประเภทที่เกิดเสียงจากไม้ ได้แก่ กรับคู่ กรับพวง |
ประเภทเกิดเสียงจากหนังสัตว์ได้แก่กลองทัด ตะโพน กลองตุ๊ก กลองแอว์ บัณเฑาะว์ กลองมลายู |
เครื่องเป่า ได้แก่ พิสเนญชัย (แตรเขาควาย) แตรงอน แตรสังข์ ปี่ (ปี่สรไนย) |
วงดนตรีในสมัยสุโขทัย
การบรรเลงพิณ เป็นการบรรเลงเพียงคนเดียว ประกอบกับการขับลำนำซึ่งผู้ดีดเป็นคนขับลำนำเอง พิณที่ใช้ดีดสันนิษฐานว่า เป็นพิณเปี๊ยะ (ทางเหนือ)หรือ พิณน้ำเต้า (เขมร,การแพร่กระจาย)หรือ กระจับปี่ (เขมร,การแพร่กระจาย ) หรือ ซึงการบรรเลงพิณประกอบการขับลำนำนี้ใช้เนื้อร้องที่มีคำกลอนในเชิงสังวาส แสดงความรักใคร่ จึงมักจะใช้เกี้ยวสาวเป็นส่วนใหญ่
วงขับไม้ วงขับไม้มีคนเล่น ๓ คน คือคนขับลำนำ คนไกวบัณเฑาะว์เพื่อให้จังหวะ และคนสีซอสามสายคลอเสียงคนขับลำนำ วงขับไม้มักใช้กับพิธีหลวงในสมัยนั้น เช่น พิธีสมโภชพระมหาเศวตรฉัตร พิธีสมโภชพระยาช้างเผือก
ปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยสุโขทัยปี่พาทย์เครื่องห้าประกอบด้วย ปี่ ฆ้อง ตะโพน กลองทัด ๑ ใบ ฉิ่ง
วงเครื่องประโคม (วงแตรสังข์) ในสมัยสุโขทัยมีอยู่ครบบริบูรณ์ แตรยาว แตรงอน กลองชนะ บัณเฑาะว์ มโหระทึก
บทเพลงสมัยสุโขทัย
ในสมัยสุโขทัยยังไม่มีการบันทึกโน้ตไว้เป็นหลักฐาน จึงไม่มีใครทราบแน่นอนว่าบทเพลงสมัยกรุงสุโขทัยเป็นอย่างไร แต่มีหลายเพลงที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย เช่น เพลงเทพทอง เพลงนางนาค และเพลงขับไม้บัณเฑาะว์
|